Frist Time My RoadTrip Saraburi
- Changtaluy.Kim
- 6 เม.ย. 2564
- ยาว 1 นาที
"เธอๆ เราขับมอไซต์เธอไปต่างจังหวัดดีมั๊ย"
"ละเธอจะไปที่ไหน"
"ใกล้ๆที่ไหนก็ได้ บางแสน พัทยา อะไรก็ได้อ่ะ"
"เราอยากไปน้ำตกอ่ะ"
"ไปก็ได้"
"เธอจะนั่งไหวป่ะ เธอจะไหวป่ะเนี่ย"
"ไหวดิทำไมไม่ไหว ไม่ลองก็ไม่รู้"
สุดท้ายเรามาจบกันที่ "สระบุรี" เพราะหนึ่งอยากเข้าป่า อยากไปน้ำตก และหนึ่งให้เหตุผลว่า สระบุรี บางแสน พัทยา ระยะทางก็พอๆกันนั่นแหล่ะ เราก็เออๆ ไปก็ได้ ที่ไหนก็ได้ แต่อยากให้ขับมอไซต์ไป
จริงๆจุดเริ่มต้นเนี่ยมันมาจากที่เราได้ทำงานและได้เดินทางคนเดียวบ่อยๆ เดินทางโดยไม่ใช้รถยนต์ส่วนตัว เดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะไม่ว่าจะเป็นเครื่องบิน รถทัวร์ หรือ รถตู้ สองแถว เช่ามอไซต์ และบวกกับด้วยสื่อและเหล่าอินฟูเวนเซอร์เนี่ยเขาเชิญชวนให้ไปท่องเที่ยวในรูปแบบที่แตกต่างกันไป ประจวบเหมาะกับที่มาเจอหนึ่ง และหนึ่งก็เล่าว่าตัวเองเคยขับมอไซต์ท่องเที่ยวในสมัยก่อนที่ยังมีเวลาว่างอยู่ เราก็เออ..ไหนๆเธอก็คิดถึงการขับมอไซต์ออกต่างจังหวัด และเราเองก็โหยหาการท่องเที่ยวแบบนี้ งั้นเรามาขับมอไซต์ไปกัน "สระบุรี" กันเหอะ

เอาเข้าจริงๆแล้วทั้งเราทั้งหนึ่งต่างเป็นกังวล หนึ่งกังวลว่าเราจะนั่งมอไซต์นานๆได้ไหม จะไหวหรือเปล่า จะงอแงหรือเปล่า ส่วนเราเองก็กังวลว่าลิมิตเราจะเท่าไหนนะ เราจะร้อน จะหิวแล้วงอแงใส่เขาหรือเปล่า ละอิมอไซต์คันนี้เนี่ยมันไปได้จริงๆใช่ไหม ?
ก่อนที่จะเดิน
ทางคืนแรก เรากังวลอะไรไม่รู้จนนอนไม่หลับ จนหนึ่งหลับไปไม่รู้กี่ตื่นเราเพิ่งจะมาหลับตอนตีสาม และเวลาในการเดินทางออกจาก กทม. ของเราคือ ตีห้า แต่กว่าจะเดินทางไปซื้อกาแฟก่อนหนึ่งแก้ว เติมน้ำมัน กดเงิน เวลาจริงๆที่ออกก็ประมาณ หกโมงเช้า ก็ไม่แย่เท่าไหร่ ทำให้รู้ว่าอากาเมืองไทยตอนหน้าร้อน ถึงแม้จะเป็นช่วงเช้าก็ไม่ได้รู้สึกเย็นอะไร ? ความเย็นที่ส่งผ่านมาให้เราสองคนมีเพียงลมที่ตีเข้ามาร่วมกับความเร็วของรถมอไซต์ที่หนึ่งขับเท่านั้นเอง
ระหว่างที่เราขับรถออกมาทางดอนเมือง ฟ้าก็ค่อยเพิ่มสว่างขึ้น เราเห็นคนขับรถมอไซต์หลากหลายรูปแบบเดินทางเหมือนพวกเราสองคน แต่เราไม่รู้ว่าจุดหมายปลายทางของพวกเขาจะเหมือนพวกเราสองคนหรือเปล่า ?

ตลอดการขับมอไซต์หนึ่งจะคอยถามว่าเราโอเคไหม ? นั่งไหวหรือเปล่า ? นั่งได้หรือเปล่า ? หิวไหม ? กินกาแฟไหม ? กินข้าวไหม ? คือรู้แหล่ะว่าเป็นห่วงว่าเราจะไม่ไหว แต่เอาเข้าจริงๆเราสนุกกับการได้หันซ้ายทีขวาทีในการดูวิวข้างทาง ถึงแม้ว่าในบางจังหวะจะมีมึนๆอยู่บ้าง เพราะน่าจะเกิดจากความเร็วของรถ และเราจ้องมองวิวที่เลื่อนผ่านเป็นระยะเวลานาน และอาการของคนที่พักผ่อนไม่พอ ก่อนที่เราจะเดินทางออกไปจังหวัดถัดไป หนึ่งแวะเข้าปั้มในวินาทีเดียวกับเรารู้สึกว่าต้องพักก่อนละ ก้นเราเริ่มไม่ไหว และท้องของเราก็ร้องแล้วด้วย
ช่างเป็นแฟนที่รู้ใจจริงๆ
หลังจากที่เรากินข้าวเหนียวหมูปิ้งเสร็จ เราก็เริ่มออกเดินทางกันต่อเพื่อไปยังจุดหมายคือ อ.มวกเหล็ก จ.สระบุรี ในการนั่งมอไซต์ครั้งนี้ทำให้เรารู้ได้ว่าลิมิตของก้นเราอยู่ที่กี่กิโล ตัวเลขออกมาว่า 20 กิโลนั่นเองเพราะถ้าเลยไปเป็น 25 หรือ 30 ก้นเราจะเริ่มรับไม่ไหว จากที่เคยกังวลเรื่องขาจะชาไหม ตะคริวจะกินขาหรือเปล่า ก็คือหมดกังวลเรื่องนั้นไปได้เลย ทริปนี้เรามาบริหารและกังวลเรื่องก้นของเรากัน 555
ยังไม่ถึง 10 โมงดีเราก็มาถึงตัวเมืองของสระบุรี หนึ่งบอกรู้สึกแปลกๆเพราะเวลาขับมอไซต์
มาไม่เคยได้เข้ามาในตัวเมือง จะขับเลี่ยงเมืองตลอดและอยู่ในความเร็วที่ทำเวลา ต่างกับเราที่ชอบเข้าตัวเมืองเพราะว่าเราชอบดูความเป็นอยู่ของคนแต่ละเมืองน่ะ จากที่เดินทางไปมาทั่วทุกทิศของประเทศไทยแล้ว ตัวเมืองแต่ละจังหวัดมีเสน่ห์และให้ความรู้สึกไม่เหมือนกันเลย สำหรับสระบุรีเองก็ให้ความรู้สึกเหมือนออกมาต่างจังหวัดชานเมืองที่ไม่ไกลจากกทม.มากนัก แต่ก็มีกลิ่นอายของความเป็นต่างจังหวัดที่มีเสน่ห์ อาจจะเป็นเพราะช่วงที่เราไปตรงกับวันหยุดยาวทำให้เราเห็นหลายๆร้านยังไม่เปิดดี เราขับตามแผนที่เพื่อไปยังคาเฟ่ที่เป็นจุดหมายปลายทาง แต่สุดท้าย... คาเฟ่ที่เราอยากไปมากๆนั้นก็ปิด เศร้ามากๆ แต่หิวมากกว่าเลยเลือกกินร้านข้าวมันไก่ ที่อยู่ตรงปากซอยของคาเฟ่นั้นไปก่อน ร้านข้าวมันไก่ทำให้เรานึกถึงสมัยเด็กอยู่เรื่อยๆ เมื่อตอนเด็กเวลาวันหยุดเรามักจะโดนใช้ไปซื้อข้าวมันไก่เสอมๆ บรรยากาศในร้านข้าวมันไก่จะเต็มไปด้วยผู้คนที่ทั้งนั่งทานที่ร้าน และ ห่อกลับบ้าน ซึ่งบรรยากาศร้านแบบนี้บวกกับอะไรหลายๆอย่างทำให้อยู่ๆเราก็นึกถึงช่วงเวลานั้นขึ้นมา
"ละจะไปคาเฟ่ที่อื่นไหม หาสิ"
หนึ่งพูดออกมาขณะกินข้าวมันไก่
"อือ..หาอยู่"
เราตอบกลับพลางกินไปด้วย เลื่อนกดโทรศัพท์ดูไปด้วย
จนสุดท้ายได้มาร้านที่บอกเลยว่าประทับใจไม่แพ้กัน และคิดว่าตอนเย็นบรรยากาศแบบนี้กับคราฟเบียร์เย็นๆ คงมีความสุขมากเลยทีเดียว หลังจากเราได้พักผ่อนที่คาเฟ่ และเราก็ได้เติมพลังจากบลูเบอร์รี่ชีสเค้กไปแล้วทำให้พลังของเรากลับมาอีกครั้ง หนึ่งบอกว่าเราต้องรีบไปไม่งั้นเธอจะโดนแดดเผา เพราะมันร้อนมาก หนึ่งเอากระเป๋าของเราผูกกับรถด้านหน้าที่เป็นถังน้ำมัน และเอากระเป๋าของตัวเองสะพายไว้ด้านหน้า เราถามหนึ่งว่าขับได้ไหมสบายหรือเปล่า หนึ่งตอบกลับมาว่า "พอให้คางเกยได้พอดีเลย"
ใกล้จะถึงทางเลี้ยวซ้ายเข้ามวกเหล็กและที่พักของเราแล้ว หนึ่งแวะพักให้เราเข้าห้องน้ำ และ แวะเติมลมยางด้วย เอาจริงๆก็อดสงสัยไม่ได้ว่าการเติมลมยางครั้งนีมันเกิดจากน้ำหนักที่มากไปของเราหรือเปล่า ?
เราใช้ระยะเวลาอีก 20 นาทีจากปั๊มที่หนึ่งเติมลมยางจนถึงที่พักของเราก็พอดีเวลาเที่ยงนิดๆ เพราะยังเช็คอินไม่ได้ บวกกับเริ่มมีปัญหาตรงที่ที่พักของเราดันไม่มีชื่อเราอยู่ในรายชื่อผู้ที่จะเข้ามาพักวันนี้ เราแจ้งว่าเราจะไปน้ำตกข้างๆ และหาอะไรทาน ถ้าหากได้ความยังไงก็ให้โทรแจ้งเรา

เราเดินไปยังน้ำตกด้านข้าง น้ำตกที่ไม่ค่อยมีผู้คนเข้ามา ไม่สูงมาก มีเพียงแค่ชั้นเดียวแต่ก็ช่วยเยียวยาความเหนื่อยจากการนั่งรถมาจากที่ไกลๆได้มากเลยทีเดียว เราสั่งอาหารและเครื่องดื่ม เพื่อที่จะนั่งพักผ่อนและดื่มด่ำกับธรรมชาติให้สมกับที่เราขับรถออกจากเมืองหลวงที่วุ่นวายมาเพื่อเจอความสโลไลฟ์และกลิ่นอายธรรมชาติเพื่อเอามาบำบัดความคิดและร่างกายที่บอบช้ำจากการทำงานมาอย่างเหนื่อยล้าให้ลดลงไป
ไม่ทันที่เราจะได้มีความสุขดี ทางโรงแรมที่เราจองไว้ผ่านเว็บไซต์ชื่อดังก็โทรมาว่า ชื่อเราหลุดออกจากการเข้าพักเนื่องจากเราไม่คอนเฟิร์ม โอ มาย ก๊อดดด แล้วยังไง คืนนี้เราจะไปนอนกันที่ไหน ? จริงๆแล้วเรื่องที่น่าจะเป็นเราที่ผิดที่ไม่แจ้งคอนเฟิร์มกับที่พักแต่ให้ตายเหอะ ไอ้แอปบ้าบอนี้ไม่เตือนไม่เด้งไม่อะไรกับเราสักอย่าง ทำให้เราชะล่าใจว่ายังไงเราก็มีที่พักอยู่แล้ว แต่วุ่นวายใจไปก็เท่านั้น ระหว่างที่นั่งอยู่เราเพิ่มทำการหาที่พักใหม่ในงบที่เราจำกัด จนกระทั่งได้ที่พักหนึ่ง โล่งใจไปอีกครั้ง
เมื่อได้ที่พักแล้วหนึ่งก็ขอลงไปว่ายน้ำให้สมใจอยาก เหตุผลที่มาที่นี่เพราะอยากเล่นน้ำตกธรรมชาติจริงๆ เราของไม่ลงเพราะขี้เกียจเปลี่ยนชุด แต่เอาเข้าจริงๆแล้วเราก็เป็นสายธรรมชาติที่ไม่ค่อยสุดเหมือนกันนะ จากอะไรหลายๆอย่างน่ะ ฮ่าฮ่าฮ่า พอถึงเวลาที่เราจะต้องขับรถเพื่อไปต่อยังที่พักที่เราติดต่อไว้ แต่ปรากฏว่า พอไปถึงที่พักแล้วรู้สึกไม่ค่อยดี เพราะที่พักนี้หลุดจากเส้นทางหลักของเรามาอีกหลายกี่โล เราเลยขอยกเลิกที่พักที่นั่นไปและบอกหนึ่งว่าให้ไปหาเอาข้างหน้า ในระหว่างทางที่เราหันซ้ายหันขวาว่าจะไปทางไหนดี มือหนึ่งก็ถือหมวกกันน็อคที่ถอดออก มือหนึ่งก็รอฟังปลายสายรับโทรศัพท์ สายตาก็มองหาที่พักไปด้วยจนสะดุดตาเข้ากับที่พักฝั่งตรงข้ามที่เราจอดนั่นแหล่ะ
"เดี๋ยวเราเข้าไปถามที่นั่นก่อนนะ เธอรออยู่นี่"
เราหันไปบอกหนึ่งที่ตอนนี้ทำตาหยี และ สีหน้าที่แสดงออกเลยว่าร้อนมาก

เรารู้สึกโชคดีที่ที่พักที่นี่มีห้องว่างพอดี กับราคาที่เราต้องยอมแลกทีสำหรับเงินค่าที่พักที่เกินมากว่า 500 บาท ห้องที่พักก็ดูแล้วไม่แย่สักเท่าไหร่ (มั้ง) จริงๆเป็นรีสอร์ทที่ติดกับริมน้ำตก เพียงแต่ว่าน้ำตกแถวรีสอร์ทนั้นมีสาหร่ายและต้นไม้น้ำที่เยอะเกินไป ดูไม่ค่อยน่าเล่นเท่าไหร่ ? เราก็แค่กินข้าว ดื่มกันนิดหน่อยและก็เข้านอน เพราะว่าเหนื่อยกันมาตลอดทั้งวันแล้ว
เช้าขึ้นมาหนึ่งตั้งใจจะไปน้ำตกดงพญาเย็น ไปถึงแล้วแต่คนเยอะเกินไป รวมไปถึงน้ำตกเจ็ดสาวน้อยด้วย ทำให้เราไปที่น้ำตกเดิมที่เราไปมาเมื่อวานสั่งอาหารกินและดื่มด่ำกับธรรมชาติดสักพักก็ขี่รถกลับกรุงเทพ
จริงตอนขากลับมาช่วงสุดท้ายตอนเข้านวนครที่เรานั่งแล้วแบบไม่ไหวแล้ว เราใช้มือบีบพุงคนขับหลายที ตอนแรกเห็นว่าปั๊มอยู่ข้างหน้าก็บีบพุงไปหลายทีสุดท้ายคนขี่ ขับเลยจ้าาานี่ต้องตะโกนบอกไปว่า
"แวะปั๊ม ไม่ไหวแล้วโวยย"
ลงรถมาหนึ่งบอกว่า
"เอ๊า !! เราก็คิดว่าเธอแค่จับพุงเราเล่นๆเหมือนปกติ" (==^
สำหรับประสบการณ์ครั้งนี้..
ความรู้สึกเวลาได้ไปเที่ยวกับแฟนสองคนก็ดีเหมือนกันให้ความรู้สึกแตกต่างเวลาไปกับเพื่อน สิ่งที่เราได้กันมาคือการเรียนรู้ซึ่งกันและกัน เราชอบเวลาเราได้คุยกันเกี่ยวกับเรื่องต่างๆ เพราะปกติเวลาอยู่ด้วยกันหรือแม้จะโทรศัพท์หากันทุกวันเราก็ไม่ได้คุยกันเหมือนตอนที่เราไปเที่ยวกันอ่ะ ให้ความรู้สึกดีไปอีกแบบ
หนึ่งบอกว่านี่เป็นครั้งแรกที่ขับมอไซต์พาแฟนมาเที่ยวกันสองคน เราก็บอกหนึ่งเหมือนกันว่านี่เป็นครั้งแรกที่เรามาเที่ยวกับแฟนแบบนี้ จริงๆต้องขอบคุณหนึ่งนะที่ทำให้เราได้มีประสบการณ์แบบนี้ที่เราโหยหามาตลอด รู้สึกชอบอะไรแบบนี้เข้าแล้วล่ะสิ
ทริปต่อไป ขับรถไปไหนดีน้าาาา...
ขับรถไปตลาดเอาของไปขายหาเงินกันไปก่อนก็ดีเหมือนกันนะ ; )
Kimwriter
KimVlog
Comments